Deepfake คืออะไร

Deepfake คือการใช้เทคโนโลยีปลอมแปลงตัวตนของบุคคลต่างๆ ทั้งในรูปแบบวีดีโอ ภาพถ่าย หรือเสียง โดยใช้เทคโนโลยี AI เช่นการเปลี่ยนใบหน้าของบุคคลที่ต้องการไปในวีดีโอต้นฉบับ เมื่อมีคนมาดูวีดีโอก็อาจทำให้เข้าใจผิดได้เพราะบุคคลที่อยู่ในวีดีโอไม่ใช่บุคคลที่แท้จริง ในช่วงแรกนั้น Deepfake ใช้เพื่อความสนุกสนานโดยการสลับใบหน้านักแสดงชื่อดังไปแทนที่ดาราหนังโป๊ แต่ปัจจุบัน Deepfake ถูกนำไปใช้ทั้งในทางสร้างสรรค์และการโกงต่างๆ คำว่า Deepfake นั้นมาจากคำศัพท์ “deep learning” ที่เป็นสาขาวิชาการเรียนรู้เชิงลึกหรือ machine learning(ML) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI แต่จะเอาคำว่า learning ออกแล้วแทนคำว่า fake เข้าไป ซึ่งจะให้ความหมายว่าของปลอมหรือมองไม่ออกว่าเป็นของปลอม สิ่งที่ออกมาจาก Deepfake จะไม่ใช่ของจริง

การทำงานของ Deepfake

หลักการทำงานของ Deepfake | ที่มา

     Deepfake ใช้อัลกอริธึม Machine Learning ในการสร้างภาพ วีดีโอ หรือเสียงที่ทำมาเรียนแบบเพื่อหลอกหลวงคนดู กระบวนการสร้าง Deepfake ประกอบไปด้วยขั้นตอนต่อไปนี้

1. รวบรวมข้อมูล: ขั้นตอนแรกจะรวบรวมข้อมูลภาพหรือวีดีโอของบุคคลต้นแบบและบุคคลเป้าหมายที่ต้องการเลียนแบบ ข้อมูลเหล่านี้อาจจะหาได้ตามสื่อสาธารณะเช่น โซเชียลมีเดีย ข่าว ต่างๆ ยิ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงจะสามารถรวบรวมข้อมูลได้ง่ายขึ้น การมีข้อมูลของบุคคลเป้าหมายมากเท่าไหร่จะทำให้การเลียนแบบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
2. Face mapping: ในขั้นตอนนี้จะใช้อัลกอริธึม Deepfake วิเคราะห์เพื่อสร้างแบบจำลองสามมิติ(3D Model) กับใบหน้าของบุคคลเป้าหมาย ในแบบจำลองจะมีการจดจำใบหน้า จดจำการแสดงออกทางสีหน้า การเคลื่อนไหว และวิธีการพูด
3. Training Algorithm: การใช้ Machine Learning เข้ามาเพื่อเรียนรู้การสร้างใบหน้าและการเคลื่อนไหวของบุคคลใหม่ขึ้นมา โปรแกรมจะต้องเรียนรู้ใบหน้าของสองบุคคลจากข้อมูลต่างๆ ตรวจจับความคล้ายคลึงกันในด้านต่างๆเช่นการพูด การยิ้ม การหัวเราะ และการแสดงท่าทางต่างๆ จากนั้นวีดีโอของบุคคลเป้าหมายจะเริ่มถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของบุคคลใหม่ขึ้นมา ยิ่งมีข้อมูลมากเท่าใด Deepfake ยิ่งมีความแม่นยำมากขึ้น
4. Manipulating the media: เมื่ออัลกอริธึมถูก Train แล้ว ขั้นตอนนี้จะเป็นสลับใบหน้าของคนที่ต้องการเลียนแบบเข้าไปยังวีดีโอเป้าหมายแล้วสร้างไฟล์เวอร์ชั่นใหม่ขึ้นมา
5. Refinement and editing: หลังจากการสลับใบหน้าโดยใช้ Deepfake เสร็จแล้ว ขั้นตอนนี้อาจมีการปรับปรุงแก้ไขเพื่อเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้นเช่นการปรับแสงให้มีความสมดุล การไล่สีให้มีความเนียนมากยิ่งขึ้น ปรับแต่งการเคลื่อนไหวให้มีความธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างของ Deepfake

ตัวอย่างแรกเป็นการแทนที่ใบหน้าของ Tom Cruise เข้าไปในหนัง Iron Man ที่แสดงโดย Robert Downey ใน VDO หากไม่เคยดูหรือรู้จักหนังเรื่อง Iron Man มาก่อนอาจเชื่อได้ว่า Tom Cruise เป็นคนแสดงจริงๆ


วีดีโอต่อไปนี้เป็นการแทนที่ใบหน้า Morgan Freeman เข้าไปจากวีดีโอต้นฉบับ หมายความว่าการเคลื่อนไหว การพูดในวีดีโอ Morgan Freeman ไม่เคยกระทำมาก่อน ทั้งหมดเกิดขึ้นจาก Deepfake


วีดีโอ Deepfake นี้คือกรณีของบารัค โอบามา อัดคลิปด่าโดนัลด์ ทรัมป์ว่า "ไอ้ทึ่ม(Dipship)" แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่คลิปจริงเป็น Deepfake ทั้งวีดีโอและเสียงถูกปลอมขึ้นมา


Deepfake ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของ Website Learners โดยจากภาพจะสังเกตเห็นว่าทั้งสามคนนั้นเป็นใบหน้าปลอมโดยมใช้ Deepfake จากเครื่องมือที่ใช้งานฟรีด้วย


การใช้ Deepfake เชิงบวก

1. ด้านภาพยนต์: น่าจะเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้ Deepfake มากที่สุด เพราะหลายครั้งนักแสดงหลักอาจจะไม่ได้เล่นซีนแอคชั่นเอง โดยจะใช้นักแสดงหรือวัตถุแสดงแทน แล้วใช้ Deepfake นำใบหน้าแทนลงไป
2. ด้านการศึกษา: เราสามารถสร้างเนื้อหาทางการศึกษาให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นโดยการนำใบหน้าของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต บุคคลในประวัติศาสตร์ หรือผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ สร้างเป็นวีดีโอขึ้นมา เพื่อให้การเรียนการสอนมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
3. โซเชียลมีเดีย: การใช้งานในด้านนี้จะเน้นไปที่ความสนุกสนาน โดยสามารถนำใบหน้าของเราไปเลียนแบบกับใบหน้าอื่นๆได้เช่น ใบหน้าของสัตว์ต่างๆ ใบหน้าของบุคคลโด่งดัง
4. ชุบชีวิตผู้ล่วงลับ: เราสามารถใช้เทคโนโลยีนี้สร้างบุคคลที่ล่วงลับมาแล้วกลับไปในรูปแบบของภาพหรือวีดีโอได้ เพื่อเป็นที่ระลึกและหายคิดถึงได้

การใช้ Deepfake เชิงลบและกลโกงของมิจฉาชีพ

     ถึงแม้ Deepfake จะเป็นเทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจและสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆได้ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้กลับนำมาใช้ในทางที่ผิดจนกลายเป็นอาชญากรรมต่างๆมากมาย

1. การหวังผลทางการเมือง: ในช่วงใกล้การเลือกตั้งของหลายๆประเทศ มักมีวีดีโอ Deepfake ออกมาเป็นจำนวนมาก ใช้ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามเพื่อหวังคะแนนในการเลือกตั้ง ในหลายๆวีดีโอของ Deepfake ก็มีคนเชื่อจริงๆ เพราะการออกมาแก้ข้อกล่าวหานั้นใช้เวลา แต่การแชร์ของคนในโซเชียลมีเดียนั้นไวกว่า ดังนั้นอาจทำให้เกิดข่าวปลอมเป็นจำนวนมากและอาจเกิดเป็นทฤษฎีสมคบคิดขึ้นมาได้
2. การหลอกลวงทางโซเชียลมีเดีย: ในกรณีนี้มักมีการสร้างวีดีโอปลอมขึ้นมาอาจจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ราชการขึ้นมา เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้แอบอ้างแล้วหลอกล้วงข้อมูลหรือหลอกให้มีการโอนเงินเกิดขึ้น
3. การสร้างคลิปในทางเสียหาย: ปัจจุบัน Deepfake ถูกนำไปใช้ในการสร้างคลิปหรือวีดีโอที่เกิดความเสียหายเช่น คลิปโป๊ โดยแทนใบหน้าเป็นดารา หรือบุคคลต่างๆที่ต้องการให้เป็นลงไปในวีดีโอ ทำให้เกิดความเสียหายกับเจ้าตัวเป็นอย่างมาก
4. การสร้างข่าวปลอม: เคยมีคลิปวีดีโอปลอมของ Barack Obama สร้าง Fake News โดยใช้ Deepfake ปล่อยคลิปตอนตี 2 ว่าขอประกาศลาออก ขอยุบสภา และมีการกระจายไปทั่ว ทำให้ทุกคนแตกตื่นอย่างมากเพราะเห็นวีดีโอ แต่รัฐบาลก็ได้ออกมาแก้ข่าวภายหลัง อย่างไรก็ตามก็ทำให้เกิดความเสียหายได้


ป้ายกำกับ

แสดงเพิ่มเติม

บทความยอดนิยม

Software Development Life Cycle (SDLC) คืออะไร ทำไมจำเป็นต่อการพัฒนาซอฟต์แวร์

Automation testing หรือ การทดสอบซอฟต์แวร์อัตโนมัติ คืออะไร ทำไมถึงสำคัญต่อการทดสอบซอฟต์แวร์

ม.ปลายอยากเข้าสายคอม วิทยาการคอม วิศวกรรมคอม เตรียมตัวอย่างไร ต้องมีพื้นฐานอะไรบ้าง

วิธีเก็บ วิเคราะห์ รวบรวม requirement อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ

Performance Test คือ อะไร วัดประสิทธิภาพของระบบ ล่มไม่ล่ม จะรู้ได้อย่างไร

8 สิ่งที่ AI จะมาเปลี่ยนโลกในอนาคต

ถอดรหัสความลับเครื่อง Enigma จุดเริ่มต้นและจุดจบของสงครามโลกครั้งที่ 2